The Brodie helmet หมวกทหาร สงครามโลกครั้งที่ 1

ประวัติหมวกนิรภัย จากสนามรบสู่ความปลอดภัยในที่ทำงาน

หมวกนิรภัย หรือที่เรียกว่า “ฮาร์ดแฮต” (Hard Hat) เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ป้องกันศีรษะที่สำคัญที่สุดในสถานที่ทำงาน ด้วยวิวัฒนาการที่เริ่มต้นจากสนามรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 สู่การเป็นเครื่องมือป้องกันอันตรายในอุตสาหกรรมต่าง ๆ หมวกนิรภัยในปัจจุบันได้ผ่านการพัฒนาที่ซับซ้อนและเข้มงวดเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับแรงงานทั่วโลก

หมวกนิรภัยมีจุดเริ่มต้นอย่างไร?

Edward Bullard

Edward Bullard National Inventors Hall of Fame

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 หมวกเหล็กถูกใช้เพื่อปกป้องศีรษะของทหารจากกระสุน เศษระเบิด และเศษวัสดุ หลังสงคราม ทหารหนุ่มชาวอเมริกันชื่อ Edward W. Bullard ซึ่งเคยเป็นทหารในสงคราม ได้เห็นประสิทธิภาพของหมวกเหล็กในสนามรบ และตระหนักถึงศักยภาพของมันในโลกอุตสาหกรรมหลังสงคราม

เมื่อ Bullard กลับมาทำงานในธุรกิจครอบครัวที่ซานฟรานซิสโก ซึ่งผลิตอุปกรณ์สำหรับคนงานเหมือง เช่น โคมไฟคาร์ไบด์ (Carbide Lamps) เขาได้รับแรงบันดาลใจในการพัฒนาหมวกนิรภัยเพื่อปกป้องคนงานจากอันตราย โดยในปี ค.ศ. 1919 เขาได้คิดค้นหมวกนิรภัยรุ่นแรกในชื่อ “Hard Boiled Hat” ซึ่งทำจากผ้าใบและหนังที่เคลือบด้วยเชลแล็ก เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและทนทานต่อการใช้งานในเหมืองและสถานที่อันตรายอื่น ๆ

Courtesy of the Clark County Museum in Henderson, Nevada

ภาพหมวกนิรภัยที่ออกแบบโดย Bullard จาก
Courtesy of the Clark County Museum in Henderson, Nevada

 

วิวัฒนาการของหมวกนิรภัย: จากสนามรบสู่เหมืองแร่

Bullard ตระหนักว่าหมวกเหล็กของทหารไม่เหมาะสำหรับงานในเหมือง เนื่องจาก:

  • ขนาดใหญ่และเทอะทะ: ทำให้ไม่สะดวกในการใช้งานในพื้นที่แคบ

  • ต้นทุนสูง: ไม่เหมาะกับแรงงานที่มีรายได้น้อย

ดังนั้น Bullard จึงเริ่มต้นการพัฒนาโดยทดลองใช้วัสดุที่หาได้ง่ายในยุคนั้น เช่น ผ้าใบหนัก (Duck Canvas) และเคลือบด้วยเชลแล็กเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและทนทาน เขานำเทคนิคการขึ้นรูปด้วยไอน้ำมาใช้เพื่อปรับให้พอดีกับรูปทรงศีรษะ หมวกที่ได้จึงมีความคงทนต่อแรงกระแทกและเหมาะกับสภาพแวดล้อมในเหมืองมากยิ่งขึ้น

ในปีเดียวกัน Bullard ยังพัฒนาหมวกนิรภัยเพิ่มเติมสำหรับคนงานในกองทัพเรือสหรัฐฯ โดยปรับการออกแบบให้เหมาะสมกับงานในอู่ต่อเรือ เช่น การป้องกันเศษวัสดุที่ตกลงมาในระหว่างการทำงาน

miner safety helmet

หมวกนิรภัยของคนงานเหมืองใบนี้ ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของคอลเลกชันในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์อเมริกันแห่งชาติ (National Museum of American History) ถูกผลิตโดยบริษัท E.D. Bullard ในซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย หลังปี ค.ศ. 1919 ส่วนที่เป็นหนังและตัวยึดโลหะด้านหน้ามีความเป็นไปได้ว่าสำหรับติดตั้งโคมไฟไฟฟ้า.

หมวกนิรภัยได้รับการยอมรับเมื่อไหร่?

US Bureau of Reclamation

ภาพคนงานก่อสร้างเขื่อน Hoover Dam จาก US Bureau of Reclamation

การสวมหมวกนิรภัยในช่วงแรกเป็นเพียงทางเลือกสำหรับคนงาน จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1931 โครงการก่อสร้าง เขื่อน Boulder Dam (Hoover Dam) ได้บังคับให้คนงานทุกคนต้องสวมหมวกนิรภัย และในปี ค.ศ. 1933 โครงการก่อสร้าง สะพานโกลเดนเกต (Golden Gate Bridge) ได้เพิ่มมาตรการความปลอดภัย โดยบังคับให้คนงานสวมหมวกนิรภัยเพื่อลดความเสี่ยงจากเหล็กที่ตกลงมา นอกจากนี้ Bullard ยังออกแบบชุดที่มีระบบอัดอากาศเพื่อป้องกันคนงานจากการสูดดมฝุ่นที่เกิดจากการพ่นทรายทำความสะอาดเหล็ก

การพัฒนาและเปลี่ยนแปลงดีไซน์

หมวกนิรภัยได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องในแต่ละยุค เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการและสภาพแวดล้อมในการทำงาน

วิวัฒนาการของหมวกนิรภัยขอบคุณภาพจาก innosafeinternational

ช่วงกลางศตวรรษที่ 20 (1940-1950s)

  • การนำไฟเบอร์กลาสมาใช้ในการผลิตหมวกนิรภัยถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
  • วัสดุนี้มีความแข็งแรง ทนทาน และน้ำหนักเบา ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและประสิทธิภาพในการป้องกันแรงกระแทก

ช่วงทศวรรษที่ 1950s

  • ระบบรองในหมวก (Suspension System) ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อแก้ปัญหาแรงกระแทกที่ส่งตรงไปยังศีรษะในกรณีที่มีวัตถุตกใส่
  • การออกแบบระบบรองในใช้หลักการกระจายแรงผ่านสายรัดและตัวยึดที่ติดตั้งในโครงสร้างหมวก แทนที่จะใช้วัสดุที่ดูดซับแรงกระแทกโดยตรง เช่น โฟมที่พบในหมวกกันน็อค

เหตุผลที่ไม่ใช้โฟมในหมวกนิรภัย

  1. แรงกระแทกจากด้านบน

    • หมวกนิรภัยถูกออกแบบให้รับแรงกระแทกจากวัตถุที่ตกลงมาจากด้านบนโดยตรง โฟมอาจไม่เหมาะสมในการกระจายแรงจากการชนในแนวตั้ง
    • ระบบรองในที่มีช่องว่างระหว่างศีรษะกับหมวกช่วยลดแรงกระแทกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
  2. การใช้งานที่ต่อเนื่องยาวนาน

    • หมวกนิรภัยมักถูกสวมใส่เป็นเวลาหลายชั่วโมงในสภาพแวดล้อมที่ร้อน โฟมอาจทำให้เกิดความร้อนสะสมและไม่สบายต่อผู้ใช้งาน
    • ระบบรองในที่ใช้วัสดุเบา เช่น สายไนลอนหรือพลาสติก ช่วยให้ระบายอากาศได้ดีและลดน้ำหนักโดยรวม
  3. ความแตกต่างในสภาพแวดล้อม

    • หมวกกันน็อคได้รับการออกแบบเพื่อปกป้องจากแรงกระแทกในกรณีที่ผู้ขับขี่ล้มลง ซึ่งแรงชนมักเกิดจากทิศทางหลายมิติ
    • หมวกนิรภัยเน้นการป้องกันจากแรงตกกระแทกในแนวตั้ง ซึ่งแตกต่างจากหมวกกันน็อค

ช่วงทศวรรษที่ 1960s

  • วัสดุเทอร์โมพลาสติกเข้ามาแทนที่ไฟเบอร์กลาส เนื่องจากสามารถผลิตในปริมาณมากได้ง่ายขึ้น
  • ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มความยืดหยุ่นในการออกแบบหมวกนิรภัยให้เหมาะกับลักษณะงานที่หลากหลาย

ช่วงปัจจุบัน

  • หมวกนิรภัยได้รับการพัฒนาจนสามารถติดตั้งอุปกรณ์เสริม เช่น ไฟฉาย แว่นป้องกัน หรือเซ็นเซอร์ตรวจจับแรงกระแทก
  • บางรุ่นยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบ IoT เพื่อส่งข้อมูลความปลอดภัยแบบเรียลไทม์

 

ดีไซน์ที่พัฒนามาเพื่อความสะดวกและประสิทธิภาพ

หมวกนิรภัยสีขาว หมวกเซฟตี้สีเหลือง หมวกเซฤตี้มีรูระบายอากศ

หมวกนิรภัย  Magnum มีรูระบายอากาศ

การออกแบบหมวกนิรภัยในปัจจุบันยังเน้นเรื่องน้ำหนักเบาและสมดุล เพื่อให้เหมาะกับการสวมใส่ในระยะเวลานาน โครงสร้างรองในสามารถปรับขนาดได้ตามศีรษะของผู้ใช้งาน และเพิ่มฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น ช่องระบายอากาศ ตัวยึดไฟฉาย และเซ็นเซอร์ตรวจจับแรงกระแทก

สรุป

หมวกนิรภัยไม่ได้เป็นเพียงอุปกรณ์ป้องกันศีรษะ แต่ยังเป็นเครื่องยืนยันถึงการพัฒนาทางเทคโนโลยีและความใส่ใจในความปลอดภัยของแรงงาน จากหมวกเหล็กในสงครามโลกครั้งที่ 1 สู่ “Hard Boiled Hat” และหมวกนิรภัยยุคปัจจุบัน ทุกการเปลี่ยนแปลงในดีไซน์ วัสดุ และมาตรการความปลอดภัยสะท้อนถึงความพยายามที่จะปกป้องชีวิตคนงานให้ดีขึ้น การพัฒนาอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้หมวกนิรภัยไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงในสถานที่ทำงาน แต่ยังกลายเป็นมาตรฐานสำคัญที่ส่งต่อความมั่นใจให้กับแรงงานทั่วโลกในทุกยุคทุกสมัย หากคุณกำลังมองหาหมวกนิรภัยคุณภาพดี ดีไซน์ทันสมัยได้ มาตรฐานมอก. สามารถดูได้ที่นี่

สาระน่ารู้อื่นๆ